วิชาก้าวทันโลกศึกษา 2 หน่วยที่ 2


กฎหมายแพ่ง คือ กฎหมายว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบุคคล เช่น เรื่องสภาพบุคคล ทรัพย์ หนี้ นิติกรรม ครอบครัว และมรดก เป็นต้น การกระทำผิดทางแพ่ง ถือว่าเป็นการละเมิดต่อบุคคลที่เสียหายโดยเฉพาะไม่ทำให้ประชาชนทั่วไปเดือดร้อนอย่างการกระทำผิดอาญา
กฎหมายพาณิชย์ คือ กฎหมายว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบุคคล อันเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเศรษฐกิจและการค้า โดยวางระเบียบเกี่ยวพันทางการค้าหรือธุรกิจระหว่างบุคคล เช่น การตั้งหุ้นส่วนบริษัท การประกอบการรับขน และเรื่องเกี่ยวกับตั๋วเงิน (เช่น เช็ค) กฎหมายว่าด้วยการซื้อขาย การเช่าทรัพย์ การจำนอง การจำนำ เป็นต้น
ในปัจจุบันกฎหมายแพ่งและกฎหมายพาณิชย์ของประเทศไทย ได้บัญญัติรวมเป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน เรียกชื่อว่า "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" แบ่งออกเป็น 6 บรรพ คือ บรรพ 1 ว่าด้วยหลักทั่วไป บรรพ 2 ว่าด้วยหนี้ บรรพ 3 ว่าด้วยเอกเทศสัญญา บรรพ 4 ว่าด้วยทรัพย์สิน บรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัวและบรรพ 6 ว่าด้วยมรดก
เหตุที่ประเทศไทยมีการจัดทำประมวลกฎหมายโดยการนำเอากฎหมายแพ่งมารวมกับกฎหมายพาณิชย์เป็นฉบับเดียวคล้ายกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยไม่ได้แยกเป็นประมวลกฎหมายแพ่งเล่มหนึ่งและประมวลกฎหมายพาณิชย์อีกเล่มหนึ่งดังเช่นประเทศเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น เพราะการค้าพาณิชย์ในขณะที่ร่างกฎหมายยังไม่เจริญก้าวหน้า อีกทั้ง หลักทั่วไปบางอย่างในกฎหมายแพ่งก็สามารถนำไปใช้กับกฎหมายพาณิชย์ได้ ความจำเป็นที่จะต้องแยกกฎหมายพาณิชย์ออกจากกฎหมายแพ่งโดยจัด



กฎหมายอาญา
กฎหมายอาญา  ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้สำหรับควบคุมความประพฤติของบุคคลในสังคม  เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุข  ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายฉบับนี้จะต้องได้รับโทษทางอาญา  โทษทางอาญา   แบ่งได้ 5 ชนิด  คือ 
1.       ประหารชีวิต  (เอาไปยิงเสียให้ตาย)
2.       จำคุก  (เอาไปขังในเรือนจำ)
3.       กักขัง (เอาไปกักขัง หรือควบคุมไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่เรือนจำ)
4.       ปรับ  (ปรับเป็นเงินให้รัฐ)
5.       ริบทรัพย์สิน (ริบเอาสิ่งของเงินทอง เป็นของรัฐ)
การที่จะต้องรับผิดในทางอาญา  ก็ต่อเมื่อได้กระทำการใดๆ ในขณะที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่า การกระทำนั้นๆ เป็นความผิดทางอาญา และ บุคคลนั้นต้องได้กระทำไปโดยมีเจตนาด้วย  เว้นแต่ว่ามีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า แม้จะไม่ได้มีเจตนา ก็ให้ถือว่าเป็นความผิด เช่น กระทำโดยประมาท  กระทำไปโดยไม่มีเจตนา  เป็นต้น ความผิดทางอาญา   มี 2 ประเภท คือ
1.       ความผิดต่อแผ่นดิน ยอมความกันไม่ได้ เช่น ฆ่าคนตาย ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์
2.       ความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดที่ยอมความกันได้ เช่น ยักยอกทรัพย์ หมิ่นประมาท
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา   ที่สำคัญ ซึ่งเกี่ยวกับข้องการปฏิบัติงานและการปฏิบัติตนของหมออนามัย  เช่น 
ความผิดเกี่ยวกับการปกครองและตำแหน่งหน้าที่ราชการ   ทรัพย์   ชีวิตร่างกายผู้อื่น  การปลอม  เสรีภาพและชื่อเสียง
ความผิดเกี่ยวกับการปกครอง

1.ให้  ขอให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน (ให้สินบนเจ้าพนักงาน)   (มาตรา 144)  เพื่อจูงใจให้กระทำการ หรือไม่ให้กระทำการหรือประวิงการกระทำ       อันมิชอบด้วยหน้าที่ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
2.เจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่น (เจ้าพนักงาน
เรียก รับสินบน)   (มาตรา 149) เพื่อกระทำการ หรือไม่กระทำการอย่างใด ในตำแหน่งหน้าที่ ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่ก็ตาม มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20  ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต  และปรับตั้งแต่  2,000-40,000 บาท  หรือประหารชีวิต
3.       เจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต (มาตรา 147)  คือ เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ  จัด
การ  หรือรักษาทรัพย์ใด  เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต  หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้น เช่น เป็นเจ้าหน้าที่การเงิน  ทุจริตเงินของทางราชการ การเอาของหลวงไปเป็นของตน  มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 2,000-40,000  บาท
คำว่า “โดยทุจริต” ตามกฎหมายอาญา หมายถึง เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สำหรับตนเองหรือผู้อื่น
4.             เจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต (มาตรา 151)  คือ  เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ  จัดการ 
หรือรักษาทรัพย์ใด  ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต  อันเสียหายแก่รัฐ หรือเจ้าของทรัพย์นั้น  เช่น  ใช้อำนาจอนุมัติจัดซื้อสิ่งของโดยทุจริต  มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20  ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต  และปรับตั้งแต่ 2,000-40,000 บาท
5.       เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ (มาตรา 157)  คือ ทำไปเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่
ผู้หนึ่งผู้ใด   หรือว่าเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10  ปี หรือปรับ ตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
6.       เจ้าพนักงานปลอมเอกสาร (มาตรา 161)  คือ เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสาร ดู
แลรักษาเอกสาร แล้วทำการปลอมเอกสาร    มีโทษจำคุกไม่เกิน 10  ปี  และปรับไม่เกิน 20,000 บาท
7.             เจ้าพนักงานทำเอกสารเท็จ (มาตรา 162)  คือ เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสาร กรอกข้อความลง
ในเอกสาร ได้รับรองเป็นหลักฐานซึ่งเป็นความเท็จ  ไม่จดข้อความซึ่งตนต้องจด หรือจดเปลี่ยนแปลงข้อความ เช่น  การออกใบรับรองแพทย์เท็จ  ใบชันสูตรเท็จ    มีโทษจำคุกไม่เกิน 7  ปี  และปรับไม่เกิน 14,000 บาท
8.       เจ้าพนักงานละทิ้งงาน (มาตรา 166)  คือ เป็นเจ้าพนักงาน แล้วละทิ้งงาน หรือกระทำการอย่างใดๆ เพื่อให้งาน
หยุดชะงักหรือเสียหาย โดยร่วมกันทำตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป   เช่น  พยาบาล 7 คน ร่วมกันหยุดงานไม่ยอมขึ้นเวรพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยเดือดร้อน    มีโทษจำคุกไม่เกิน 5  ปี  หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์

                   1.  ลักทรัพย์  (ม.334) มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6,000 บาท
                   2.  รีดทรัพย์ (ม.338) มีโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท
3.       ฉ้อโกงทรัพย์  (ม.341)  คือ การทุจริต หลอกลวงผู้อื่นโดยแสดงข้อความเท็จ ปกปิดความจริง  ซึ่งการหลอกลวงได้
ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ที่ถูกหลอกลวงหรือจากบุคคลที่สาม    มีโทษจำคุก  ไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ความผิดนี้ยอมความกันได้)
4.       ยักยอกทรัพย์  (ม.352) มีโทษจำคุก  ไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ   (ความผิดนี้ยอม
ความกันได้)
5.       รับของโจร  (ม.357)  คือ การช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย จ่ายแจก แลกเปลี่ยน ช่วยหาคนซื้อ   ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ
ไว้ รับจำนำ รับฝาก รับไว้ รับดูแล  ซึ่งทรัพย์ที่ได้มาจากการทำความผิดในการลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์  กรรโชก รีดทรัพย์ ชิงทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์ เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์  มีโทษจำคุก  ไม่เกิน  5 ปี  หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  
6.                ทำให้เสียทรัพย์ (ม.358) คือ การทำให้เสียหาย การทำลาย การทำให้เสื่อมค่า    ทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์สิน
ของผู้อื่นหรือของที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยมีโทษจำคุก  ไม่เกิน 3 ปี  หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  (ความผิดนี้ยอมความกันได้)
7.                บุกรุก (ม.362)  คือ การเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเพื่อถือการครอบครอง หรือเข้าไปกระทำการรบกวน
การครอบครองโดยปกติสุข   เช่น การเข้าไปรบกวน  เข้าไปขโมยของ   เข้าไปตัดต้นไม้ของเขา เข้าไปอยู่ในบ้านเรือนหรือที่ดินของคนอื่นโดยไม่มีสิทธิ โดยเจ้าของหรือผู้ครอบครองเขาไม่ยินยอมมีโทษจำคุก  ไม่เกิน 1 ปี  หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ความผิดนี้ยอมความกันได้)

     ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายผู้อื่น

1.       ฆ่าผู้อื่นตาย  (ม.288) มีโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี   ถ้าเป็นการฆ่าบุพการี

(พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย) ฆ่าเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่  ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฆ่าโดยทารุณโหดร้ายหรือทรมาน มีโทษประหารชีวิต

2.       กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (ม.291)  เช่น รักษาผู้ป่วย  ไม่รอบคอบ ประมาท
เลินเล่อทำให้เขาตาย ขับรถประมาทชนคนตาย   มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี  และปรับไม่เกิน 20,000 บาท
3.       ทำร้ายร่างกาย (ม.295) ทำให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจของผู้อื่น เช่น  ตบหน้าจนบวมช้ำ รักษาบาดแผล
หายได้ไม่เกิน 20 วัน  มีโทษจำคุกไม่เกิน  2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4.       ทำร้ายผู้อื่นยังไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ (มาตรา 391) มีโทษจำคุกไม่เกิน 1
เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
5.   ทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุได้รับอันตรายสาหัส  (ม.297)  เช่น เสียอวัยวะสำคัญ    แขน ขา ตาบอด หู
หนวก  เสียอวัยวะสืบพันธุ์ หน้าเสียโฉมติดตัว เจ็บป่วยมีอาการทุกขเวทนา ต้องรักษาบาดแผล เกินกว่า  20 วัน     มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน - 10 ปี
6.    ทำให้แท้งลูก (ม.301-305)  คือ  ทำให้หญิงแท้งลูก
· ผู้หญิงที่ทำให้ตนเองแท้งลูกหรือยอมให้คนอื่นทำให้ตนเองแท้งลูก  มีโทษจำคุกไม่เกิน  3 ปี  หรือปรับไม่เกิน
6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
      · ผู้ที่ทำแท้งให้แก่ผู้หญิงโดยหญิงนั้นยินยอม  มีโทษจำคุกไม่เกิน  5 ปี  หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ  ถ้าทำแล้วหญิงได้รับอันตรายสาหัส มีโทษจำคุกไม่เกิน  7 ปี  หรือปรับไม่เกิน 14,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  ถ้าหญิงตาย มีโทษจำคุกไม่เกิน  10 ปี  หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท
      · การทำแท้งโดยหญิงยินยอม ที่กระทำโดยนายแพทย์และมีความจำเป็นต้องกระทำเนื่องจากสุขภาพของหญิง
นั้น หรือมีครรภ์เนื่องจากกระทำความผิดอาญาถูกข่มขืนกระทำชำเรา   หญิงที่ยอมให้ทำแท้งหรือแพทย์ที่ทำแท้ง  ไม่มีความผิด
     · ผู้ที่ทำแท้งให้แก่ผู้หญิงโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม  มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี  หรือปรับ   ไม่เกิน 14,000 บาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ  ถ้าทำแล้วหญิงได้รับอันตรายสาหัส มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท  ถ้าหญิงตาย มีโทษจำคุกตั้งแต่      5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000-40,000 บาท
7.    ทอดทิ้งคนป่วย  (ม.307)  คือ มีหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญา ต้องดูแลผู้ที่พึ่งตนเองไม่ได้ เพราะ
อายุ ความเจ็บป่วย กายพิการหรือจิตพิการ แล้วทอดทิ้งหน้าที่นั้นเสียโดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต   มีโทษจำคุกไม่เกิน  3 ปี  หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

            ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร

 คือ การปลอมเอกสาร แจ้งให้จดข้อความเท็จ ผู้มีอาชีพรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ
1.       ปลอมเอกสาร (มาตรา 264)  คือ  การปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือบางส่วน  เติมหรือตัดทอนข้อความ แก้ไขเอกสาร
ที่แท้จริง ประทับตราปลอม ลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร  โดยประการที่จะน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้ทำให้เพื่อให้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง   มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี  หรือปรับ ไม่เกิน 6,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
2.       ปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ (มาตรา 265) มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน - 5 ปี  และปรับตั้งแต่
1,000 - 10,000 บาท
3.       ปลอมเอกสารสำคัญ (มาตรา 266) คือ เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ เช่น โฉนดที่ดิน ปลอมพินัยกรรม 
ใบหุ้น หุ้นกู้ และใบสำคัญ ตั๋วเงิน บัตรเงินฝาก   มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี  และปรับตั้งแต่  20,000 - 200,000 บาท
4.       ทำคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ (มาตรา 269) คือ  ผู้ประกอบการงานในวิชาแพทย์ กฎหมาย บัญชี
หรือวิชาชีพอื่นใด  ทำคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อผู้อื่นหรือประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี  หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

  ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง
1. เปิดเผยความลับ (มาตรา 322-323)
· เปิดเผยความลับในเอกสาร  คือ  ผู้ที่เปิดผนึกหรือเอาจดหมาย โทรเลข และเอกสารปิดผนึกของคนอื่นไป  เพื่อ
ล่วงรู้ข้อความ เพื่อนำข้อความออกเปิดเผย ถ้าการกระทำนั้นน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด  มีโทษจำคุกไม่เกิน  6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
        · เปิดเผยความลับในการประกอบอาชีพ คือ  ผู้ที่ล่วงรู้หรือได้มาซึ่งความลับของผู้อื่น เพราะตนเป็นพนักงาน
เจ้าหน้าที่  โดยเหตุที่เป็นผู้ประกอบอาชีพ แพทย์ เภสัชกร คนจำหน่ายยา ผดุงครรภ์  พยาบาล นักบวช หมอความ ทนายความ ผู้สอบบัญชี หรือเป็นผู้ช่วยในการประกอบอาชีพเหล่านั้น แล้วเปิดเผยความลับในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด มีโทษจำคุกไม่เกิน  6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
2.       ดูหมิ่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา  (มาตรา 393)  มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท
หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
3.       หมิ่นประมาท (มาตรา 326) คือ  การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่ 3 โดยที่น่าจะทำให้เขาเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น
ถูกเกลียดชัง มีโทษจำคุกไม่เกิน  1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
                  4. หมิ่นประมาทโดยผ่านสื่อต่างๆ  (มาตรา 327) คือ โฆษณาด้วยเอกสาร  ภาพวาด ภาพระบายสี  ภาพยนตร์ หรือตัวอักษรทำให้ปรากฏไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ   แผ่นเสียง สิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ บันทึกอักษร การกระจายเสียง กระจายภาพ
การป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท   
    
กรณีที่ไม่ถือว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท (มาตรา 329)  คือ การแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต
1.       เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนเองหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตน ตามคลองธรรม
2.       ในฐานะเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่
3.       ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ หรือ
4.       ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม
กรณีเป็นการหมิ่นประมาท  แต่ไม่ต้องรับโทษ (มาตรา 330)  คือ    กรณีพิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าหมิ่นประมาทนั้นเป็น
ความจริง   แต่ห้าม ไม่ให้พิสูจน์ถ้าข้อที่หาว่าหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน สรุป หากเป็นเรื่องส่วนตัวถ้าการพิสูจน์ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนแล้ว “ถ้าเรื่องที่หมิ่นประมาทยิ่งเป็นความจริง ผู้ที่หมิ่นประมาทก็ยิ่งมีความผิด”
การกระทำความผิดอาญาดังกล่าว นอกจากจะได้รับโทษในทางอาญาแล้ว หากทำให้ผู้อื่นเสียหายจะต้องชดใช้ความเสีย
หายในทางแพ่งให้แก่เขาด้วย  และถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ  ก็จะมีความผิดทางวินัยทั้งประเภทร้ายแรงและไม่ร้ายแรงอีกด้วย